Important Information
This website is managed by Ultima Markets’ international entities, and it’s important to emphasise that they are not subject to regulation by the FCA in the UK. Therefore, you must understand that you will not have the FCA’s protection when investing through this website – for example:
Note: Ultima Markets is currently developing a dedicated website for UK clients and expects to onboard UK clients under FCA regulations in 2026.
If you would like to proceed and visit this website, you acknowledge and confirm the following:
Ultima Markets wants to make it clear that we are duly licensed and authorised to offer the services and financial derivative products listed on our website. Individuals accessing this website and registering a trading account do so entirely of their own volition and without prior solicitation.
By confirming your decision to proceed with entering the website, you hereby affirm that this decision was solely initiated by you, and no solicitation has been made by any Ultima Markets entity.
I confirm my intention to proceed and enter this websiteCFDs ช่วยให้นักเทรดสามารถเก็งกำไรจากราคาของสินทรัพย์พื้นฐานได้ นักเทรดไม่ได้เป็นเจ้าของสินทรัพย์พื้นฐาน แต่พวกเขาจะทำการเทรดสัญญาอนุพันธ์ของโบรกเกอร์ สัญญาอนุพันธ์เหล่านี้ช่วยให้นักเทรดสามารถเปิดสถานะซื้อ (Long) หรือขาย (Short) ซึ่งหมายความว่าพวกเขาสามารถทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของตลาดทั้งในตลาดขาขึ้น (Bull) และตลาดขาลง (Bear)
เครื่องมือเหล่านี้มีความหลากหลาย เนื่องจากโบรกเกอร์มีการเสนอ CFDs จากสินทรัพย์หลายประเภทที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย ประเภทของสินทรัพย์ที่สามารถเทรดเป็น CFDs ได้แก่:
(ควรสังเกตว่า บางหน่วยงานกำกับดูแลมีการจำกัดการให้บริการสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงแก่ผู้ค้าปลีก เช่น หน่วยงานกำกับดูแลในสหราชอาณาจักรไม่อนุญาตให้โบรกเกอร์เสนอ CFDs ของสกุลเงินดิจิทัลให้กับเทรดเดอร์)
CFDs ส่วนใหญ่ที่เป็นประเภท Spot เช่น หุ้นและดัชนี ไม่มีวันหมดอายุ ซึ่งหมายความว่าตำแหน่งจะเปิดจนกว่าผู้เทรดจะปิดมัน อย่างไรก็ตาม CFDs บางประเภทในสินค้าโภคภัณฑ์และอนุพันธ์ฟิวเจอร์สอา
CFDs นำเสนอข้อดีมากมายแก่เทรดเดอร์เมื่อเทียบกับอนุพันธ์ประเภทอื่นหรือการซื้อขายสินทรัพย์จริง ข้อดีหลักของการซื้อขาย CFD ได้แก่:
การเข้าถึงเลเวอเรจ: หนึ่งในข้อได้เปรียบหลักของการซื้อขาย CFD คือการเข้าถึงเลเวอเรจ เทรดเดอร์จำเป็นต้องใช้เงินทุนเพียงส่วนน้อยของมูลค่ารวมของสถานะที่เปิดเป็นมาร์จิ้น และกำไรหรือขาดทุนจะถูกคำนวณจากมูลค่ารวมของสถานะที่เปิด อย่างไรก็ตาม การซื้อขายด้วยเลเวอเรจมีความเสี่ยงสูงมาก (เลเวอเรจจะถูกกล่าวถึงในส่วนถัดไป)
การเปิดสถานะซื้อและขาย: ข้อดีอีกประการของการซื้อขาย CFD คือความสามารถในการเปิดสถานะซื้อหรือขายในตลาด ในฐานะเทรดเดอร์ คุณสามารถเปิดสถานะซื้อ (ซื้อที่ราคาซื้อของสัญญา CFD) หากคุณคาดการณ์ว่าราคาสินทรัพย์อ้างอิงจะเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ คุณยังสามารถเปิดสถานะขาย (ขายที่ราคาขายของสัญญา CFD) หากคุณคาดการณ์ว่าราคาสินทรัพย์อ้างอิงจะลดลง
อุปสรรคในการเข้าต่ำ: การซื้อขาย CFD ต้องการเงินทุนมาร์จิ้นเริ่มต้นที่ต่ำกว่ามากเมื่อเทียบกับอนุพันธ์อื่น ๆ เช่น ออปชันและฟิวเจอร์ส ขนาดสถานะขั้นต่ำก็ต่ำกว่าเช่นกัน ดังนั้น อุปสรรคในการเข้าสู่การซื้อขายสำหรับเทรดเดอร์มือใหม่และไม่มีประสบการณ์จึงต่ำลงอย่างมาก
การเข้าถึงตลาดที่หลากหลาย: โบรกเกอร์ CFD มักจะเสนอสัญญาอนุพันธ์เหล่านี้สำหรับสินทรัพย์หลากหลายประเภท เดิมทีนิยมใช้ในการซื้อขายคู่สกุลเงิน สินค้าโภคภัณฑ์ และหุ้น เทรดเดอร์ยังสามารถเข้าถึง CFD ของสกุลเงินดิจิทัลได้ด้วย (บางเขตอำนาจศาลจำกัดการซื้อขาย CFD ของสกุลเงินดิจิทัลสำหรับนักลงทุนรายย่อยเนื่องจากมีความเสี่ยงสูง)
ไม่มีการส่งมอบสินทรัพย์: CFDs เป็นเครื่องมือที่ชำระด้วยเงินสด ดังนั้น เทรดเดอร์ไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับการรับมอบสินทรัพย์อ้างอิงเมื่อปิดสถานะ
แม้ว่า การเทรด CFDs จะมีข้อดีหลายประการ แต่ก็เป็นเครื่องมือทางการเงินที่ซับซ้อนและมีความเสี่ยงสูง นักลงทุนมือใหม่ที่ถูกดึงดูดด้วยโอกาสในการทำกำไรจากการเทรด CFD จำเป็นต้องเข้าใจความเสี่ยงอย่างชัดเจนก่อนเริ่มลงทุน
เลเวอเรจมีความเสี่ยงสูง: เลเวอเรจคือจุดขายหลักที่ทำให้หลายคนสนใจ การซื้อขาย CFD เพราะช่วยให้ใช้เงินลงทุนเริ่มต้นน้อย แต่สามารถเปิดสถานะขนาดใหญ่ได้ อย่างไรก็ตาม หากไม่เข้าใจวิธีใช้เลเวอเรจอย่างถูกต้อง นักลงทุนอาจขาดทุนจนหมดพอร์ตได้ภายในเวลาอันสั้น
ความเสี่ยงจากคู่สัญญา: CFD เป็นตราสารที่ซื้อขายนอกตลาด (OTC) ซึ่งหมายความว่าโบรกเกอร์จะเป็นคู่สัญญากับนักเทรดโดยตรง โบรกเกอร์บางรายส่งคำสั่งซื้อขายไปยังผู้ให้บริการสภาพคล่อง (เรียกว่า A-booking) ในขณะที่บางรายอาจเลือกถือสถานะตรงข้ามกับลูกค้า (เรียกว่า B-booking) ซึ่งในกรณีนี้ หากลูกค้าขาดทุน โบรกเกอร์จะเป็นฝ่ายได้กำไร
กฎระเบียบที่ยุ่งยาก: CFDs เป็นตราสารที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลอย่างเข้มงวด หน่วยงานกำกับดูแลหลายแห่ง เช่น ในสหราชอาณาจักร สหภาพยุโรป และออสเตรเลีย ได้ออกข้อจำกัดอย่างมากเกี่ยวกับระดับเลเวอเรจและการตลาดที่โบรกเกอร์สามารถเสนอได้ภายในเขตอำนาจของตน
สหรัฐอเมริกาและเบลเยียมได้สั่งห้ามการซื้อขาย CFD โดยสิ้นเชิง ขณะที่ในฮ่องกงก็มีการห้ามใช้งาน CFD โดยพฤตินัย เนื่องจากกฎหมายการพนันของเขตอำนาจศาลไม่อนุญาตให้แจกจ่ายตราสารประเภทนี้ เว้นแต่จะอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานที่อนุญาตให้ซื้อขายเฉพาะ CFD ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เท่านั้น
เลเวอเรจคือข้อได้เปรียบหลักของการเทรด CFDs แต่ก็แฝงด้วยความเสี่ยงสูงเช่นกัน เพราะเลเวอเรจเปิดโอกาสให้นักเทรดใช้เงินทุนน้อยแต่สามารถควบคุมสถานะที่มีขนาดใหญ่ในตลาดได้
เลเวอเรจ จะแสดงในรูปของอัตราส่วน เช่น 100:1, 50:1, 30:1 และ 10:1 ตัวอย่างเช่น หากใช้เลเวอเรจ 100:1 นักเทรดต้องใช้เงินเพียง $100 เพื่อเปิดสถานะมูลค่า $10,000 (100 เท่าของเงินลงทุนจริง) ขณะที่เลเวอเรจ 10:1 ต้องใช้เงิน $1,000 สำหรับสถานะเดียวกัน
การใช้เลเวอเรจสามารถเพิ่มโอกาสทำกำไรจากการเทรดได้อย่างมาก แต่ในทางกลับกัน หากราคาตลาดเคลื่อนไหวสวนทางกับสถานะที่ถืออยู่ ขาดทุนก็จะทวีคูณ และอาจเกินเงินทุนที่ฝากไว้ได้ หน่วยงานกำกับดูแลในหลายประเทศจึงมีข้อบังคับเกี่ยวกับ การป้องกันยอดติดลบ ซึ่งระบบจะปิดสถานะที่ขาดทุนอัตโนมัติเมื่อยอดขาดทุนเกินทุนที่ฝากไว้
ตัวอย่างการใช้เลเวอเรจในการเทรด CFD:
คุณตัดสินใจเปิด CFD คู่เงิน EUR/USD เพราะคาดว่าราคาจะปรับตัวขึ้น โบรกเกอร์เสนอเลเวอเรจ 30:1 ซึ่งหมายความว่าคุณต้องวางเงินมาร์จิ้นเพียง 3.33% ของมูลค่าการเทรดทั้งหมด
ด้วยเงินเพียง $333.33 คุณสามารถถือสถานะเทรดมูลค่า $10,000 ได้ทันที ซึ่งจะส่งผลอย่างมากต่อผลลัพธ์ของการเทรด
กรณีที่ 1: การเทรดเป็นไปตามที่คาด:
กรณีที่ 2: การเทรดสวนทางกับคุณ:
หากราคา EUR/USD ลดลง 3.33% คุณจะเสียเงิน $333.33 มาร์จิ้นทั้งหมด
ระดับเลเวอเรจที่โบรกเกอร์เสนอ จะแตกต่างกันตามประเภทของสินทรัพย์ที่เทรด CFD โดยทั่วไป คู่เงิน Forex หลัก (Major Pairs) มักจะมีเลเวอเรจสูงที่สุด ส่วน CFDs คริปโต จะมีเลเวอเรจต่ำ เนื่องจากความผันผวนสูงของสินทรัพย์ดิจิทัล
ต้นทุนการซื้อขายของอนุพันธ์นั้นมีความซับซ้อนมากกว่าการซื้อขายหุ้นแบบทั่วไป ดังนั้นการเข้าใจต้นทุนเหล่านี้จึงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับผู้ที่เทรด CFD เพราะอาจส่งผลโดยตรงต่อผลลัพธ์ของการเทรด ไม่ว่าจะเป็นกำไรหรือขาดทุน
ต้นทุนของการเทรด CFDs สามารถแบ่งออกเป็น 4 ประเภทหลัก ดังนี้:
สเปรด คือส่วนต่างระหว่างราคาซื้อ และราคาขาย ของเครื่องมือการเงินประเภท CFD หรือที่เรียกกันว่า Bid-Ask Spread โดยราคาขาย (Bid) คือราคาที่โบรกเกอร์ยินดีจะซื้อจากคุณ ส่วนราคาซื้อ (Ask) คือราคาที่คุณต้องจ่ายหากต้องการซื้อ สเปรดถือเป็นแหล่งรายได้หลักของโบรกเกอร์ CFD ส่วนใหญ่
โบรกเกอร์มักใช้คำว่า “สเปรดแคบ” และ “สเปรดกว้าง” เพื่ออธิบายลักษณะของค่าธรรมเนียมการซื้อขาย สเปรดแคบ หมายถึงช่องว่างระหว่างราคาซื้อ (Ask) และราคาขาย (Bid) มีขนาดเล็ก ในขณะที่ สเปรดกว้าง หมายถึงส่วนต่างระหว่างราคาซื้อขายมีขนาดใหญ่ขึ้น
ตัวอย่างของสเปรดในการเทรด CFD:
สมมติว่าคุณกำลังเทรด CFD ทองคำ และโบรกเกอร์แสดงราคาดังนี้:
ดังนั้น สเปรด เท่ากับ: $1,981 – $1,980 = $1
สเปรดสามารถส่งผลอย่างมีนัยสำคัญต่อความสามารถในการทำกำไรของการซื้อขาย
ผลกระทบของสเปรดต่อการซื้อขายของคุณ:
ผลลัพธ์ของการซื้อขายยังขึ้นอยู่กับว่า สเปรดแคบหรือกว้าง
การซื้อขาย Shares CFD โดยทั่วไปมักมีค่าคอมมิชชั่นที่เกี่ยวข้อง
โบรกเกอร์หลายรายจะเรียกเก็บค่าคอมมิชชั่นเมื่อเปิดและปิดสถานะ ซึ่งอาจเป็นค่าธรรมเนียมแบบคงที่หรือผันแปรตามมูลค่าของสถานะที่ถืออยู่
ตัวอย่างค่าคอมมิชชั่นในการซื้อขาย CFD:
สมมติว่าคุณต้องการซื้อขาย CFD ของหุ้น Apple โดยที่โบรกเกอร์คิดค่าคอมมิชชั่น 0.1% ต่อการซื้อขายหนึ่งครั้ง (ทั้งการเปิดและปิดสถานะ)
คุณต้องการซื้อ หุ้นจำนวน 50 หุ้น โดยราคาหุ้น Apple ปัจจุบันอยู่ที่ $150 ต่อหุ้น ค่าคอมมิชชั่นจะคำนวณได้ดังนี้:
ค่าคอมมิชชั่นที่เรียกเก็บโดยโบรกเกอร์ CFD อาจส่งผลอย่างมีนัยสำคัญต่อผลลัพธ์ของการซื้อขาย (กำไรหรือขาดทุน)
สมมติว่าราคาหุ้น Apple เพิ่มขึ้นเป็น $155 ต่อหุ้น และคุณตัดสินใจปิดสถานะ
การเข้าใจเรื่องค่าคอมมิชชั่นเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับนักเทรด ค่าคอมมิชชั่นสามารถส่งผลกระทบต่อนักเทรดได้หลายด้าน เช่น:
ค่าใช้จ่ายข้ามคืน (Overnight Fees) หรือที่เรียกว่าค่าสวอป (Swap Fees) หรือค่าต่ออายุสถานะ (Rollover Costs) คือค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บเมื่อคุณถือสถานะ CFD ค้างไว้ข้ามวัน (โดยปกติคือหลังเวลา 17.00 น. ตามเวลานิวยอร์ก)
ค่าธรรมเนียมนี้เป็นค่าใช้จ่ายในการใช้เลเวอเรจในการถือสถานะ เพราะเทคนิคแล้ว โบรกเกอร์ได้ “ให้ยืมเงิน” เพื่อให้คุณสามารถคงสถานะการซื้อขายนั้นไว้
ค่าธรรมเนียมข้ามคืนขึ้นอยู่กับปัจจัยดังต่อไปนี้:
วิธีคำนวณค่าธรรมเนียมข้ามคืน
สูตรในการคำนวณค่าธรรมเนียมข้ามคืนมักเป็นดังนี้:
ค่าธรรมเนียมข้ามคืน = (ขนาดการซื้อขาย × อัตราการจัดหาเงินทุน) ÷ 365
ตัวอย่างที่ 2: ค่าธรรมเนียมข้ามคืนสำหรับสถานะ Long
สมมติว่าคุณเปิดสถานะ CFD แบบ Long บนดัชนี FTSE 100 โดยมีรายละเอียดดังนี้:
ขั้นตอนที่ 1: คำนวณต้นทุนรายวัน
ขั้นตอนที่ 2: คำนวณและเรียกเก็บค่าธรรมเนียม
หากคุณถือสถานะไว้เป็นเวลา 7 วัน ค่าธรรมเนียมข้ามคืนทั้งหมดจะเท่ากับ:
£1.23 × 7 = £8.61
ตัวอย่างที่ 2: ค่าธรรมเนียมข้ามคืนสำหรับสถานะ Short
สมมติว่าคุณเปิดสถานะ CFD แบบ Short บน EUR/USD
ขั้นตอนที่ 1: คำนวณเครดิตรายวัน
ขั้นตอนที่ 2: คำนวณและบันทึกเครดิต
โบรกเกอร์ CFD มักเรียกเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมสำหรับการให้เข้าถึงข้อมูลราคาตลาดแบบเรียลไทม์หรือแบบหน่วงเวลา ซึ่งเรียกว่า ค่าธรรมเนียมข้อมูลตลาด โดยค่าธรรมเนียมเหล่านี้มักเกี่ยวข้องกับต้นทุนการขอสิทธิ์ใช้งานข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์หรือผู้ให้บริการข้อมูล
โดยทั่วไป โบรกเกอร์จะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมข้อมูลตลาดในรูปแบบ รายเดือนหรือรายปี
Ultima Markets เป็นโบรกเกอร์ที่ได้รับใบอนุญาตอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ให้บริการการเข้าถึงตราสารทางการเงินมากกว่า 250 รายการ รวมถึงคู่สกุลเงิน โลหะมีค่า น้ำมันดิบ ดัชนี หุ้น และคริปโต
เรามีอัตราเลเวอเรจสูงสุดถึง 2000:1 พร้อมรับประกัน สเปรดแคบและการดำเนินการที่รวดเร็ว อีกทั้งยังมี โครงสร้างราคาที่โปร่งใส เพื่อช่วยให้นักเทรดสามารถวางแผนต้นทุนการเทรดได้ล่วงหน้า
เปิดบัญชีกับ Ultima Markets เพื่อเริ่มต้นเส้นทางการซื้อขาย CFD ของคุณได้แล้ววันนี้!
ข้อสงวนสิทธิ์: เนื้อหานี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้น และมิได้ถือเป็นการให้คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำทางวิชาชีพอื่นใด อีกทั้งไม่ควรถือว่าข้อความหรือความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้เป็นการแนะนำจาก Ultima Markets หรือผู้เขียนเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์การลงทุน กลยุทธ์ หรือธุรกรรมเฉพาะใดๆ ผู้อ่านไม่ควรพึ่งพาเนื้อหานี้เพียงอย่างเดียวในการตัดสินใจลงทุน และควรขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญอิสระหากเห็นสมควร